วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ขนมลูกชุบ

ขนมลูกชุบ










เครื่องปรุง


1. ถั่วเขียวนึ่งสุกบดละเอียด 1 กิโลกรัม


2. น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง


3. หัวกะทิ (มะพร้าว 400 กรัม) 1 ถ้วยตวง


4. สีผสมอาหารสีต่างๆ


ส่วนที่ชุบ


1. วุ้นผง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ


2. น้ำ 2 1 /2 ถ้วยตวง


3. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง


วิธีทำ


1. ผสมถั่วบด น้ำตาลทราย กะทิ เข้าด้วยกัน ยกขึ้นตั้งไฟ


2. กวนด้วยไฟอ่อนๆจนล่อนจับกันไม่ติดกระทะ


3. พักถั่วกวนไว้ให้เย็น นำมาปั้นเป็นรูปผลไม้ต่างๆตามต้องการ เสียบไม้ไว้


4. ใช้พู่กันจุ่มสีระบายลงบนขนมที่ปั้น โดยระบายเลียนแบบของจริง ทิ้งไว้ให้แห้งจึงนำไปชุบวุ้น


5. ผสมวุ้นกับน้ำยกขึ้นตั้งไฟให้ละลายก่อนจึงใส่น้ำตาลทราย เคี่ยววุ้นจนข้น


6. เอาขนมที่ปั้นแล้วเสียบไม้ลงชุบวุ้นครั้งเดียวให้ทั่ว ทิ้งไว้จนแห้งแล้วชุบอีก ทำเช่นนี้ประมาณ 3- 4 ครั้ง


จะชุบแต่ละครั้งต้องให้เย็น วุ้นแข็งตัวก่อนทุกครั้ง


7. เมื่อวุ้นแข็งจึงเอาไม้เสียบออก ตกแต่งด้วยก้านและใบให้สวยงาม






ขนมหม้อแกง


ส่วนผสม


1. ไข่ 90 ใบ

2. น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลมะพร้าว 4 กิโลครึ่ง

3. กะทิ ที่คั้นจากมะพร้าว 12 กิโลกรัม โดยไม่ใส่น้ำผสม คั้นให้ได้กะทิ 3 กิโลครึ่ง

4. แป้งข้าวจ้าว 4 ขีด

5. หากต้องการให้เนื้อขนมข้นและแข็งกว่าปกติ ให้ใส่เผือกต้มป่นละเอียด 3 กิโลกรัม ขนมก็จะมีรสเผือก

ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องใส่


วิธีทำ

1.เปิดเตาอบอุ่นเตา ด้วยความร้อน 200 องศา

2.สมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน ในเครื่องผสมปั่นผสมให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบาง สองถึงสามครั้ง

ส่วนผสมจะเข้ากันดีจนเนื้อเนียนเป็นครีม ทุกครั้งที่กรองเสร็จให้ตักเอาส่วนผสมที่ค้างอยู่ในผ้ากรองทิ้งไป
3.ตักส่วนผสมใส่ถาด ไม่ต้องให้เต็ม เพราะขนมจะฟูขึ้นอีก

4.อบด้วยไฟ 200 องศาจนขนมขึ้นฟู และหน้าขนมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ให้ลดไฟลงเหลือ 150

องศา จนขนมสุก หน้าขนมเป็นสีเหลืองทอง



เคล็ดลับ

• ที่ต้องลดไฟก็เพื่อไม่ให้หน้าขนมแตก ให้คอยสังเกตดู หากขนมเริ่มฟูขึ้นมาก ให้เปิดฝาเตาอบเพื่อ

ระบายความร้อนสักพัก ประมาณ 5-10 นาที แล้วจึงนำเข้าอบใหม่ ด้วยไฟ 150 องศา • วิธีดูว่าขนมสุก

หรือยัง ดูที่สีของหน้าขนมไม่ได้ เพราะหากไฟบนแรง หน้าขนมจะมีสีเข้มมาก แต่ขนมที่ก้นถาดอาจยังไม่สุก

การที่จะทดสอบให้เขย่าตะแกรงที่รองถาดในเตาอบ 2-3 ครั้ง หากหน้าขนมแกว่งไปมาตามแรงเขย่า แปลว่า

ด้านล่างยังไม่สุก ต้องอบต่อสักพัก ถ้าเขย่าแล้วหน้าขนมนิ่ง แปลว่าสุกดีแล้ว • ถ้าขนมด้านล่างยังไม่สุก

แต่หน้าขนมสีเข้มมากแล้ว ให้ลดไฟบนเปิดแต่ไฟล่าง มิฉะนั้นขนมหม้อแกงจะหน้าไหม้ แต่ไม่สุก

วุ้นมะพร้าว

วุ้นมะพร้าว



ส่วนผสมและวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้


1. มะพร้าวน้ำหอม (อ่อน ๆ) 25-30 ลูก

2. ผงวุ้น 50 กรัม

3. น้ำตาลทรายขาว 1 กิโลกรัม

4. หม้อเบอร์ 32 1 ใบ

5. เล็บแมวสำหรับขูดเนื้อมะพร้าว 1 อัน

6. ถุงเย็นขนาด 9 x14 นิ้ว 30 ใบ

7. น้ำสัมสายชู 1 ขวด

วิธีการทำ

1. เลือกมะพร้าวอ่อนได้ที่ปอกให้สวยงาม (ควรใช้มะพร้าวขนาดใกล้เคียงกัน) แช่น้ำซึ่งผสมน้ำส้มสายชู ทิ้ง

ไว้5-10 นาที เพื่อไม่ให้เปลือกมะพร้าวดำ (หลีกเลี่ยงการใช้สารกัดขาว)
2. ตัดก้นมะพร้าว ซึ่งอาจจะตัดแบบขาดจากกันหรือให้ติดลูกอยู่ก็ได้ เทน้ำออกใส่หม้อไว้ และขูดเนื้อ

มะพร้าวออก ระวังอย่าให้โดนกะลามะพร้าว จะทำให้สีไม่สวย แล้วแบ่งใส่ทุกลูกเท่า ๆ กัน
3. กรองน้ำมะพร้าวให้สะอาด ตวงให้ได้ 8 ลิตร ใส่หม้อตั้งไฟเคี่ยวให้เดือดใช้เวลา 20-25 นาที (ก่อนตั้ง
ไฟให้ชิมรสชาติน้ำมะพร้าวก่อน)
4. เติมผงวุ้น 50 กรัม น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ลงไปคนให้เข้ากัน
5. ตักน้ำวุ้นใส่ในลูกมะพร้าวที่เตรียมไว้ หรืออาจใช้เนื้อมะพร้าวโรยปิดหน้าบ้างก็ได้ ทิ้งไว้ 30 นาที จะเริ่ม

แข็ง (ถ้ารีบก็ใช้พัดลมช่วยเป่า)
6. เมื่อวุ้นแข็งนำใสถุงเย็น รัดยางนำไปแช่ตู้เย็นไว้บริโภคหรือขายได้เลย



** ในอุณหภูมิปกติเก็บได้ 2 วัน เก็บในตู้เย็นได้ 2 สัปดาห์






































กล้วยฉาบ

การทำกล้วยฉาบ




กล้วยฉาบ กล้วยฉาบทำจากกล้วยน้ำว้าดิบ กล้วยไข่ดิบ กล้วย หินดิบ และกล้วยหอมดิบ จะให้รสชาติที่แตก
ต่างกันไป เล็กน้อย นอกจากกล้วยแล้ว เผือก มันเทศ มันฝรั่ง ก็ฉาบ ได้เช่นเดียวกับกล้วย ส่วนผสม
: : ส่วนผสม : :

1.กล้วยหักมุก 1 หวี

2.น้ำมันสำหรับทอด 2 ถ้วยตวง

3.น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง

4.น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ

5.เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
: : วิธีการทำ : :

1. ตั้งกระทะให้ร้อน เติมน้ำมันทั้งหมดลงในกระทะ พอให้ น้ำมันร้อน จึงปอกกล้วยแล้วฝานเป็นแผ่นบาง ๆ
ตาม ความยาวของผล ใส่ลงทอดในน้ำมันทันที หมั่นคนและ พลิกชิ้นกล้วยกลับให้ถูกความร้อนสม่ำเสมอ
กัน จนกรอบ ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ทำให้หมดหวี

2. เทน้ำมันออกจากกระทำให้หมด ใส่น้ำตาล น้ำ และเกลือ ลงในกระทะนั้น ต้มจนน้ำตาลละลาย และเคี่ยว
ต่ออีกครู่ จนน้ำตาลเหนียวเป็นเส้น เมื่อใช้ปลายมีดจุ่มลงในน้ำเชื่อม แล้วยกมีดขึ้น น้ำเชื่อมจะยืดตามมีด
เป็นเส้น

3. ใส่กล้วยที่ทอดไว้ลงในกระทะน้ำเชื่อมทันทีที่ยกลงจากเตา เคล้าเบา ๆ ให้น้ำเชื่อมจับชิ้นกล้วยให้ทั่วถึง

4. พักไว้จนเย็นสนิทและน้ำเชื่อมแห้งสนิทด้วย จึงเก็บใส่ ภาชนะที่ปิดได้สนิท กลเม็ดเคล็ดลับ กล้วยฉาบที่ดี
ควรจะมีน้ำตาลฉาบชิ้นกล้วยบาง ๆ เป็นสีขาว ชิ้น กล้วยฉาบควรกรอบ สีเหลือง อ่อนสม่ำเสมอ รสหวานมัน
มีรส เค็มเล็กน้อย เสิรมให้รสกลมกล่อมดีขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ลอดช่องสิงคโปร์

ลอดช่องสิงคโปร์





ส่วนผสม


-แป้งมัน 1 ถ้วย


-น้ำใบเตย 3 / 4 ถ้วย


-หัวกะทิ 1 ถ้วย


-น้ำเชื่อมข้น 2 1 / 2 ถ้วย


-น้ำแข็งทุบ



วิธีทำ


1. ผสมแป้งมันกับน้ำใบเตย คนให้ละลาย นำไปตั้งไฟกวนให้เหนียวข้น


2. นำขึ้นมาพักให้อุ่น โรยนวลแป้งนวดต่อให้นิ่ม


3. คลึงแป้งเป็นแผ่นบาง ตัดให้เป็นเส้นยาวๆ


4. ต้มน้ำให้เดือด นำแป้งที่ตัดไว้ลงต้มพอสุกแป้งจะลอยน้ำ ตักแป้งในน้ำเย็น


5. ตักตัวลอดช่องแช่ในน้ำกะทิ

6. การเสิร์ฟให้ตักน้ำเชื่อมใส่ถ้วยขนม ตักลอดช่องตามปริมาณที่ต้องการใส่น้ำแข็งทุบ

ฟักทองสังขยา สาหร่ายเกลียวทอง

ฟักทองสังขยา สาหร่ายเกลียวทอง






ส่วนผสม


ฟักทองขนาดประมาณ 1/2 กก 1 ผล

ไข่ไก่ 5 ฟอง

หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง

แป้งข้าวเจ้า 3 ช้อนโต๊ะ

เกลือนิดหน่อยสาหร่ายเกลียวทอง 4 แคปซูล

ใบเตย หรือใบตองแห้ง

น้ำปูนใส


วิธีทำ

1. นำฟักทองมาแกะเมล็ดข้างในออก แล้วแช่ในน้ำปูนใส เพื่อให้เวลานึ่งฟักทองไม่แตก

2. ผสมไข่ไก่ หัวกะทิ น้ำตาลปิ๊บ เกลือ และ สาหร่ายเกลียวทอง เข้าด้วยกัน ใช้ใบเตยขยำพอเป็นฟอง

3. นำส่วนผสมทั้งหมดที่ผสมแล้ว เทลงในผลฟักทอง แล้วนำไปนึ่งด้วยไฟปานกลาง ประมาณ 1 ซม.

ฟักทอง เป็นพืชผักสวนครัวเก่าแก่ ที่คนโบราณรู้จักดี และนำมาใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหารทั้งคาว
และหวานมากมายหลายชนิด ฟักทองเป็นพืชเถาเลื้อย ปลูกง่ายให้ผลเร็ว โดยใช้เมล็ดปลูกในดินร่วนหรือดิน
ปนทราย ฟักทองจะเจริญเติบโตแตกยอดผลิดอก ออกผลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหน้าฝนและเคล็ดลบที่
จะทำให้ฟักทองออกผลดก คือต้องหมั่นเด็ดยอดไปทำอาหารบ่อยๆ ซึ่งส่วนมากเรามักนำฟักทองมาบริโภค
เป็นผัก โดยเฉพาะยอดอ่อน ดอกฟักทองและผลอ่อน นำไปลวก ต้ม หรือผัดน้ำมัน จิ้มน้ำพริกรับประทาน
หรือนำไปแกงเลียงง แกงส้ม ก็ให้รสชาติอร่อยไปอีกแบบหนึ่ง สำหรับผลแก่ปรุงเป็นอาหารคาว เช่น แกง
เลียงแกงส้ม แกงอ่อม แกงใส่กะทิ ฟักทองต้มกะทิ แกงเผ็ด เป็นต้น ส่วนอาหารหวาน เช่น ฟักทอง แกงบวด
ฟักทองเชื่อมฟักทองสังขยา ฟักทองนึ่งมะพร้าวเกลือ บัวลอยฟักทอง อาหารว่าง เช่น ข้าวเกรียบ ฟักทอง
น้ำฟักทอง ส่วน เมล็ดฟักทองนำมาอบ หรือคั่วกับเกลือ ทานเป็นของขบเคี้ยว
คุณค่าทางอาหารและยา

ฟักทองมีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมาย ที่สำคัญได้แก่ วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุ
ฟอสฟอรัสซึ่งปัจจุบันวงการแพทย์ให้ความสนใจสาร เบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ที่มี
ส่วนช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็งได้ หากินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงไต
นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป เมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง สามารถ
ป้องกันการเกิดนิ่ว และใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืด นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
หนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้า
ท้องลาย

บัวลอยแฟนตาซี

บัวลอยแฟนตาซี



ส่วนผสมบัวลอย

เผือก

แป้งข้าวเหนียว 1/3
ถ้วยเผือก 1/3 ถ้วย
น้ำเปล่านิดหน่อย

ต้มหรือนึ่งเผือกจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดรวมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าแห้งไปเติมน้ำเล็กน้อย เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้ พลาสติก ใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

ฟักทอง

แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
ฟักทอง 1/3 ถ้วย

ต้มหรือนึ่งฟักทองจนสุก แล้วบดให้ละเอียด ผสมแป้งข้าวเหนียวนวดให้เป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแป้งเนียนมือดีแล้วก็ใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

ใบเตย

แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
น้ำใบเตยข้นๆ ประมาณ 2-3 ชต.

ผสมแป้งข้าวเหนียวกับน้ำใบเตย นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ

น้ำหวานสีแดง

แป้งข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย
น้ำหวานสีแดงเฮลส์บลูบอยประมาณ 1/2 ชต.
น้ำเปล่าประมาณ 2 ชต.

ผสมแป้ง น้ำแดง แล้วค่อยๆ เติมน้ำทีละนิด นวดจนแป้งเนียน แล้วใช้พลาสติกใสคลุมกันลมไว้ค่ะ


1. เมื่อนวดแป้งเรียบร้อยแล้วก็มาปั้นบัวลอยกันค่ะ เราแบ่งแป้งประมาณครึ่งหนึ่งของทุกสีมาปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. ค่ะ อ้อ.. อย่าลืมโรยแป้งบางๆ บนเม็ดบัวลอยกันแป้งติดกันด้วยนะคะ
2. แป้งส่วนที่เหลือ เรานำมาปั้นเป็นบัวลอยแฟนซีหลากสีค่ะ วิธีปั้นก็แค่ปั้นแป้งแต่ละสีเป็นแท่งผอม ๆ ยาว ๆ หนาประมาณ 1/2 ซม. แล้วก็นำทั้ง สองสีมาประกบกัน แบ่งปั้นเป็นเม็ดกลมๆ แค่นี้ก็ได้บัวลอยแฟนซีหลากสีสันแล้วค่ะ
3. นำหม้อใส่น้ำตั้งไฟ ต้มจนเดือด แล้วใส่เม็ดบัวลอยที่ปั้นไว้ เมื่อเม็ดบัวลอยสุกก็จะลอยขึ้นมา เราก็ตักไปผ่านน้ำเย็น แล้วใส่กระชอนสะเด็ดน้ำ พักไว้ก่อน แล้วก็มาทำน้ำกะทิกันค่ะ

ส่วนผสมน้ำกะทิ โดยประมาณนะคะ พอดีเราไม่ได้ตวงค่ะ

กะทิ 1 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บหรือน้ำตาลปึก 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

แบ่งกะทิมา 1 ถ้วยใส่หม้ออีกใบ ใส่น้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทราย และเกลือลงไปผสม นำไปตั้งไฟกลาง คนเรื่อยๆ จนเดือดและน้ำตาลละลาย เทบัวลอยที่ต้มสุกแล้วลงไป แล้วเติมกะทิอีก 1/2 ถ้วยที่เหลือต้มต่อจนเดือดอีกครั้งก็ปิดไฟ เรียบร้อยแล้วค่ะ ถึงตอนนี้ก็ไม่มีเวลาพูดพล่ามทำเพลงแล้วค่ะ ตักใส่ถ้วยจัดการหม่ำๆ ได้เลยค่ะ ทั้งหวาน ทั้งมัน ทั้งหอม อร่อยจังเลยค่ะ